โพส เว็บประกาศลด แหล่งรวม ลงประกาศฟรี

หมวดหมู่ทั่วไป => โพสฟรี => ข้อความที่เริ่มโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 13 ตุลาคม 2025, 16:23:07 น.

หัวข้อ: หมอประจำบ้าน: ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA)
เริ่มหัวข้อโดย: siritidaphon ที่ วันที่ 13 ตุลาคม 2025, 16:23:07 น.
หมอประจำบ้าน: ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA) (https://doctorathome.com/)

ฝีตับอะมีบา (Amebic Liver Abscess - ALA) หรือที่บางครั้งเรียกว่า ฝีบิดในตับ เป็นภาวะที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิตชนิดหนึ่งชื่อว่า เอนตามีบา ฮิสโตไลติกา (Entamoeba histolytica) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดโรคบิดอะมีบาในลำไส้ การติดเชื้อนี้ถือเป็นภาวะแทรกซ้อนนอกลำไส้ที่พบบ่อยที่สุดและมีความสำคัญทางการแพทย์ในพื้นที่เขตร้อน


1. สาเหตุและการติดต่อ

ฝีตับอะมีบาเกิดจากเชื้อปรสิต Entamoeba histolytica ซึ่งมีวงจรชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการปนเปื้อนในอาหารและน้ำ

การติดเชื้อเริ่มต้น: เชื้อปรสิตเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนซีสต์ของเชื้ออะมีบา (มักเกิดในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี)

การเดินทางของเชื้อ: เมื่อซีสต์ฟักตัวเป็นโทรโฟซอยต์ (Trophozoites) ในลำไส้ใหญ่แล้ว บางส่วนจะทำลายเยื่อบุลำไส้และเข้าสู่กระแสเลือด

การก่อฝีในตับ: โทรโฟซอยต์จะเดินทางผ่านหลอดเลือดดำพอร์ทัล (Portal Vein) ไปยังตับ ซึ่งเป็นที่ที่มันทำลายเนื้อเยื่อตับและก่อให้เกิดเป็นก้อนหนองหรือฝีในที่สุด

ปัจจัยเสี่ยง: พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 6-7 เท่า มักอยู่ในช่วงอายุ 30-50 ปี รวมถึงผู้ที่มีภาวะติดสุรา, ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, หรือมีประวัติการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค


2. อาการสำคัญที่ควรสังเกต

อาการของฝีตับอะมีบามักจะเกิดขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ และอาจมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงในระยะแรก

ไข้และหนาวสั่น: เป็นอาการที่พบได้บ่อย

อาการปวดท้อง: มีอาการปวดแน่น หรือปวดแบบตื้อ ๆ บริเวณ ใต้ชายโครงขวา หรือช่องท้องส่วนบนด้านขวา อาการปวดมักจะรุนแรงและต่อเนื่อง

อาการอื่น ๆ:

คลำพบตับโตและกดเจ็บ

อาการทั่วไป เช่น เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย

บางรายอาจมีอาการทางเดินอาหารนำมาก่อน เช่น ท้องเสีย ถ่ายเป็นมูกเลือด (แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการลำไส้อักเสบชัดเจนนำมาก่อน)

หากฝีมีขนาดใหญ่และกดทับกระบังลม อาจทำให้มีอาการไอ หรือเจ็บหน้าอกด้านขวาได้


3. การรักษาและภาวะแทรกซ้อน

ฝีตับอะมีบามีการพยากรณ์โรคที่ดีหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว


แนวทางการรักษาหลัก

การใช้ยาฆ่าเชื้อ (Anti-amoebic Agents):

การรักษาหลักคือการให้ยาในกลุ่มไนโตรอิมิดาโซล (Nitroimidazoles) เช่น เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เป็นเวลา 7-10 วัน หรือตามที่แพทย์สั่ง

เนื่องจากเชื้ออะมีบาอาจยังคงอาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่แม้ว่าฝีในตับจะหายแล้ว ดังนั้นแพทย์จะให้ยาเพื่อกำจัดเชื้อที่ตกค้างในลำไส้ (Luminal Agents) เช่น พารอมอมัยซิน (Paromomycin) ตามหลังการรักษาด้วยยาตัวแรก เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ


การเจาะระบายหนอง (Aspiration):

โดยปกติแล้ว ฝีตับอะมีบามักจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาได้ดีและไม่จำเป็นต้องเจาะระบายหนอง

การเจาะระบายหนองจะพิจารณาในกรณีพิเศษ เช่น:

ฝีมีขนาดใหญ่มาก (มักจะใหญ่กว่า 5-10 ซม.)

ฝีอยู่ในตำแหน่งที่มีความเสี่ยงสูงต่อการแตก (เช่น กลีบซ้ายของตับ)

อาการไม่ดีขึ้นหลังจากได้รับยาฆ่าเชื้อไปแล้ว 3-5 วัน

ไม่แน่ใจว่าเป็นฝีจากอะมีบาหรือฝีจากแบคทีเรีย


ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

หากฝีมีขนาดใหญ่และไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิตได้ เช่น:

ฝีแตก: ฝีแตกเข้าสู่ช่องท้อง, ช่องเยื่อหุ้มปอด (ทำให้มีน้ำในเยื่อหุ้มปอด), หรือช่องเยื่อหุ้มหัวใจ (พบได้น้อย) ซึ่งนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรงและภาวะช็อกได้

คำแนะนำ: หากคุณมีอาการไข้ ปวดท้องรุนแรงใต้ชายโครงขวา หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยด้วยภาพถ่ายรังสีและเลือด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องโดยเร็วที่สุด